วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

ปลาหมึกผัดกะปิ และ ยำผักชะคราม

               วันนี้มาแนะนำเมนู ปลาหมิกผัดกะปิ เป็นอีกเมนูของคนชาวใต้เค้านิยมรับประทานกันมากเลย สูตรนี้ได้มาเมื่อเดือนที่แล้ว ผมได้เดินทางลงไปเที่ยวที่ภาคใต้ และไปร้านอาหาร ที่รู้จักกัน แล้วพอดีพ่อครัวที่ทำอาหาร เค้ามาเสิร์ฟให้พอดี แล้วได้นั่งคุย ถึงเมนูปลาหมึกผัดกะปิ เค้าก็บอกวิธีการทำมาให้น่ะ ไม่มีหวงสูตรเลย แหม่ม คนใต้นี่ใจดีจริงๆ ผมก็เลยจดสูตรที่จะทำมา และก็นำมาบอกในบล็อกแห่งนี้ให้เพื่อนๆ ได้ไปทดลองทำกินกันน่ะ....

 
ปลาหมึกผัดกะปิ
                 ปลาหมึกผัดกะปิเป็นอาหาร ที่ให้โปรตีน และแคลเซียม วิตามิน มาก ปลาหมึกที่เราใช้ เป็นปลาหมึกสดๆ ที่พึ่งมาจากทะเล เป็นหมึกที่ชาวประมงเค้าเรียกหมึกชนิดนี้ว่า "หมึกกล้วย" ซึ่งลักษณะของตัวปลาหมึก เป็นทรงกระบอก เมื่อได้ปลาหมึกมาแล้ว เราก็ทำการล้างและเอาขี้ปลาหมึกออก แล้วทำการหั่นขวางตามลำตัวไปเรื่อยๆ  แล้วเรามาเตรียมเครื่องปรุงที่สำคัญ ก็มี กระเทียม พริกไทยดำ ซอส ซีอิ้วดำ ต้นหอม น้ำมันหอย น้ำมันพืช น้ำปลา น้าตาล เริ่มจากเราตั้งกะทะ ให้ร้อน แล้วนำน้ำมันพืชใส่ไปเล็กน้อย แล้วตำกระเทียมพริกไทดำพอหยาบๆ ไม่ต้องละเอียดมาก แล้ว ใส่ลงไปในกะทะที่ร้อนอยู่ กลับไปมา แล้วใส่ปลาหมึก และก็ใส่เครื่องปรุงที่เราได้เตรียมไว้ ส่วนกะปิไม่ต้องใส่เยาะ ใส่ให้พอมีกลิ่นนิดหน่อย กะปิมันจะมีรสชาติเค็มอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องใส่ซิอิ้วเยาะเดี๋ยวมันจะเค็ม พลิกไปมาให้ปลาหมึกสุก ใส่น้ำเปล่าเล็กน้อย พอขลุกขลิก ใส่น้ำตาลทรายนิดหน่อย ผัดให้ปลาหมึกอาย ม้วน แล้วก็ตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟ  โรยหน้าด้วยผัก คึ่นฉาย เมื่อได้ลิ้มรสชาติของปลาหมึกที่ผัดเสร็จแล้ว ดูสวยจริงๆ เนื้อปลาหมึกหนานุ่ม ที่โดนความร้อนพึ่งเสร็จใหม่ๆ มันช่างขาวจริงๆ เรื่องรสชาติไม่ต้องพูดถึง หวาน มาก เพราะว่าเราใช้หมึกที่สดๆ ไงล่ะ

ยำผักชะคราม

               อีกเมนูอาหารไทยอีกคือ ยำผักชะคราม ขยายความผักชะคราม ผักพื้นบ้านขึ้นตามคันนากุ้ง มีธาตุเหล็กสูง รสชาติออกฝาด เฝื่อน เค็ม ต้องผ่านกรรมวิธีที่เชี่ยวชาญในการลดความฝาดเผื่อนเค็มออก เมนูนี้ความเด่นอยู่ที่ผักชะครามลวกสุก จัดชะครามเป็นก้อนกลมสีเขียวสดตัดกับสีส้มของน้ำยำรสเด็ด เปรี้ยวจี๊ดจ๊าด ที่ราดมาด้านบน ทานเป็นคำ ๆ ไปพร้อมกับน้ำพริกกะปิที่เด่นด้วยกะปิอย่างดีจากแม่กลอง ปรุงได้รสชาติลงตัวไม่เผ็ดจัด รสชาติอร่อยลิ้น ผักชะครามหนึ่บ ๆ กรึ่บ ๆ ในปาก ไม่มีเหม็นเขียว ออกรสเค็มติดปลายลิ้นนิดเดียว  ผักชะครามเพียงประเภทเดียว มาแปลงเป็นเมนู ยำผักชะคราม แกงส้มใบชะครามกุ้งสด มาให้ลิ้มรสมือกัน ทุกอย่างเด่นโดดในเรื่องรสชาติและมีความอร่อยถูกลิ้นคนชอบทานผักเป็นพื้นฐาน 
             มาลงมือทำกันดีกว่า โม้มาซะเยาะ เริ่มจาก เครื่องปรุงน้ำยำก็ไม่มีไรยุ่งยาก มี น้ำตาล น้ำปลา น้ำมะนาว พริกขี้หนูสด น้ำกระเทียมดอง น้ำสุกนิดหน่อย โดยนำหม้อใบกลาง ใส่น้ำปลา สองช้อน น้ำมะนาวสองช้อนครึ่ง น้ำมะนาว คลุกให้เข้ากัน พริกขี้ตบไม่ต้องละเอียด เอาแบบหยาบๆ พอ แล้วก็ใส่น้ำกระเทียมดองเติมน้ำสุกนิด แล้วชิมรสชาติดูว่าเปรี้ยวนำ หรือเปล่า หลังจากนั้น ก็นำผักชะครามไปลวก น้ำร้อน ไม่ต้องลวกนาน เดี๋ยววิตามินจะหายหมดไปกับน้ำ (เราเอาน้ำที่ลวกผักมาเติมก็ได้) แล้ว แล้วก็นำมาคลุกกับน้ำยำ 
           ลืมบอกไปว่า กุ้งเมื่อล้างแล้วทำการลวกน้ำร้อนได้เลย แล้วแกะเปลือก รอไว้  เมื่อเราคลุกผักชครามกับน้ำยำอีกครั้งก็ใส่กุ้งลงไปได้เลย แล้วคลุกให้น้ำยำซึมซับบนตัวกุ้งให้มากที่สุด แล้วพร้อมเสิร์ฟ ตักใส่จาน นำผักกาดมาวางรองจานให้ดู่สวย แล้วแต่งหน้าด้วยพริกแห้งขั้ว และเสริมด้วยแครอทสีส้ม มันช่างตัดกับสีของน้ำยำซะ จริงๆๆน่ะ...... 
ฟกฟก

ปลาหมอแดดเดียว และ ใบชะครามกุ้งสด

              ปัจจุบันก็พบว่า  ความนิยมบริโภคเนื้อปลามีปริมาณเพิ่มมากขึ้น เนื้อปลาเป็นแหล่งอาหารโปรตีนเพื่อสุขภาพ   เนื้อปลาหมอไทยสามารถนำไปปรุงอาหารได้หลายชนิด เช่น ย่าง ต้มยำ ฉู่ฉี่ ทอด รวมทั้งปลาหมอแดดเดียว ตลาดมีความต้องการสูงทำให้ราคาปลาของตลาดภายในประเทศขยับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันตลาดมีความต้องการปลาหมอไทยจำนวนมาก มีการผลิตจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ  และตอนนี้ได้มีการเลี้ยงปลาหมอแปลงเพศแล้ว แล้วมันดียังไง คือ  ความทนทานเลี้ยงง่ายใช้น้ำน้อย สามารถเลี้ยงได้ในบ่อดินขนาดต่างๆ ในกระชังในแหล่งน้ำนิ่ง และเลี้ยงในบ่อพลาสติก รวมทั้งยังขนส่งง่ายโดยไม่ต้องใช้ออกซิเจน    เนื้อปลาหมูจึงเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน

ปลาหมอสด (น่าสงสาร)

           วันนี้มาทำเมนูอาหารพื้นบ้านกันน่ะครับ คือเมนู ปลาหมอแดดเดียวโดยเราได้ไปซื้อปลาหมอแดดเดียวที่ตลาดสดใกล้บ้านมา ราคากิโลละ 50 บาท ได้ปลามาหกตัว ก็ตกตัวละ 8 บาท เมื่อทอดขาย ก็น่าจะขายในราคา 15 บาทน่ะ เพราะว่ามีค่าน้ำมัน ตอนนี้น้ำมัพืช ก็มีราคาสูงกว่าแต่ก่อนเยาะ เนื่องจากว่าน้ำมันพืชขาดตลาด ในตลาดไปหาซื้อน้ำมันพืช ยากมาก ไม่มีร้านไหนขาย หรือถ้ามีก็จะมีราคาสูงมาก จากแต่ก่อน ขวดลิตรละ สามสิบกว่าบาท แต่ปัจจุบัน ราคาขวดละ 47 บาท แหม่ม ถ้าทอดขายคงอาจจะไม่คุ้มก็ได้น่ะ เอาเป็นว่า เรามาทอดให้กับคนในครอบครัวเรากินดีกว่าน่ะ คุยซะยาวเลย รำคายไหมละ?.....

ปลาหมอทอดแดดเดียว

           เมื่อนำปลามาแล้วก็ทำการล้างขอดเกล็ดออกให้หมด ทำความสะอาดปลาและผ่าเอาไส้และขี้ปลาออกก่อนและทำการเลาะก้างปลาออกด้วยเพื่อให้ง่านแก่การรับประทาน  เมื่อทำการแล่เนื้อคลุกน้ำปลาอย่างดี  ตากแดดประมาณ 30 นาที  ถ้าแดดร้อนจัด ถ้าแดดไม่ร้อน ตากประมาณ หนึ่งชั่วโมง แล้วนำมา ทอดแบบเหลืองกรอบได้อารมณ์กรอบนอกนุ่มใน  แทรกกลิ่นน้ำปลา และรสชาติที่หวานของปลาหมอเทศ นำจานใบสวย วางรองพื้นด้วยใบตอง แล้วแต่หน้าด้วยใบโหระพา พร้อมเสิร์ฟ ให้ท่านแล้ว   เมื่อนำมาทานกับข้าวสวยร้อนๆ มันช่างอร่อยจังเลย.....

แกงส้มใบชะครามกุ้งสด

                 ส่วนเมนูอีกอัน เป็นเมนู ใบชะครามกุ้งสด ใบชะคราม เป็น อาหารทะเลพื้นบ้านแท้ๆ โดยใช้ผักที่มีอยู่ในพื้นที่ อย่างผักชะคราม ที่เป็นพืชขึ้นตามนาเกลือ มาทำกับข้าวรวมกับอาหารทะเลสดๆ จากทะเล นั่นคือกุ้งสดๆ นำมาล้างแล้วปอกเปลือกออก แล้วเตรียมไว้ก่อน เราไปนำเอาพริกแกงที่ซื้อจากตลาด ประมาณกิโละละ 80 บาท เป็นพริกแกงที่มีเครื่องเทศผสมอยู่เป็นจำนวนมาก ทานแล้วให้ประโยชน์ต่อร่างกายมาก เพราะมีสมุนไพรหลายชนิด เช่น กระเทียม พริกขี้หนู กระปิ ตะไค้ร ใบมะกูด ฯลฯ และกระทิที่ใช้ต้องเป็นหัวกระทิ และหางกระทิ น่ะ จะได้มีรสชาติหวาน และมัน ก่อนอื่นเราต้อง นำหม้อตั้งน้ำ น้ำที่เราใช้คือน้ำกระทิส่วนที่เป็นหาง แล้วนำไปตั้งเตาไฟร้อน สักพัก
             เมื่อน้ำกระทิเดือด พล่าน เราค่อย นำพริกแกงที่เราได้เตรียมไว้ใส่ลงไปในหม้อได้เลย ใส่พริกแกงให้เยาะหน่อยจะได้เผ็ด เพราะที่บ้านชอบทานของเผ็ด ใส่ไปประมาณ 2 ช้อน แล้วทำการตีพริกแกงให้แตกและให้ละลายเป็นเนื้อเดียวกับ น้ำกระทิ แล้ก็ใส่ กุ้งที่เราได้ล้างเตรียมไว้ใส่ลงไปในหม้อแล้วก็ตามด้วยผัก ใบชะคราม ลงไป แล้วทำการปรุงรสใส่เกลือ หรือน้ำปลา ปรุงรสให้พอดี แล้วใส่หัวกระทิ ที่เตรียมไว้ ปล่อยให้น้ำแกงเดือด สักพัก ปิดไฟ ตักขึ้นใส่จานได้เลยหน้าตา อาจจะดูแล้ว สีแดงสดมาก ข้อนข้างเผ็ด ถ้าเผ็ดมากไปก็สามารถปรุงรสให้อ่อนได้โดย เติมน้ำกระทิลงไปเจือจาง เพื่อลดความเผ็ด ส่วนกุ้งที่ใส่ไปจะให้ความหวาน และความสดใหม่อยู่แล้ว
             เมนูทั้งสองนี้เป็นเมนูอาหารพื้นบ้านของไทย ลองไปทำกินกันดู เป็นอาหารที่ให้ โปรตีน วิตามิน แกลือแร่ ต่างๆ สูงมาก เพื่อให้คนที่คุณรักมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไป...... สวัสดี..

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554

"แซลมอน โรล" เพื่อคนรักสุขภาพ

           ปลาน้ำลึกมีไอโอดีน และโอเมก้า3 สูงมาก ช่วยให้ความจำของเราดี ไม่ลืมง่าย และให้ร่างกายเราแข็งแรงทานปลาเยาะๆ เราก็ได้สารอาหารที่ร่างกายต้องการได้โดยทานปลาน้ำลึกเยาะๆนะอย่าลืม
             ปลาแซลม่อนเป็นปลาทะเลที่มีเนื้อแน่น และรสดี เมื่อนำมาปรุงอาหาร และเนื้อปลายังมีโปรตีนสูงแล้วยังมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ดีกว่าเราทานหมูอีกน่ะ วันนี้เรามาทำเมนูอีกอัน ที่อร่อยมาก คือ เมนู ฮอทแซลมอน สลัดโรล  ที่เลือกมาวันนี้ก็นเป็นเมนูสุขภาพที่วัตถุดิบล้วนแล้วมีประโยชน์ อาทิ พริกไทยดำ  ที่ช่วยให้เลือลมเดินสะดวก กระตุ้นระบบเผาผลาญ, กระเทียม ช่วยลดไขมันในเลือด  ความดันโลหิตสูง, มะเขือเทศ มีวิตามินเอ อี และซีสูง  รวมถึงมีสารไลโคทีนช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิด และแซลมอน มีโอเมก้า 3 สูงช่วยลดอาการอักเสบของข้อและหอบหืด เป็นต้น

เครื่องปรุงวัตถุดิบ
ผัดลงในกระทะ

               วัตถุดิบที่ต้องเตรียมประกอลด้วย  เนื้อปลาแซลมอนหั่นยาวพอดีคำ  ประมาณตามชอบ, กระเทียม 3 กลีบใหญ่-หอมหัวใหญ่ 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำมันหอย 1 ช้อนชา, มะเขือเทศสีดา 5 ลูก(ตามชอบ), ขนมปังพิต้า (เป็นแผ่นแป้งกลม ๆ) และผักสลัด
            เริ่มต้นการทำด้วยการนำขนมปังพิต้ามานาบบนกระทะจนร้อน  ระวังแป้งไหม้  นำไปพักไว้จากนั้นนำกระเทียมและหอมหัวใหญ่ที่สับละเอียดแล้วมาผัดในกระทะกับน้ำมันมะกอกจนหอม  นำมะเขือเทศสีดาหั่นครึ่งใส่ลงไป ตามด้วยพริกไทยดำบด, น้ำมันหอย, น้ำตาลและซีอิ้วขาว ลงไปผัดจนทั่ว  สังเกตพอมะเขือเทศเริ่มดูดน้ำแล้ว จึงนำปลาแซลมอนที่หั่นไว้แล้วโรยด้วยแป้งสาลีเล็กน้อยก่อนใส่ลงไปในกระทะแป้งสาลีจะช่วยให้ปลาสุกเร็วขึ้น ผัดจนเข้ากัน ตักขึ้นใส่จาน
              
หน้าตาสวยงาม
                 นำแป้งพิต้าที่นาบไว้ในตอนต้นมาวางตามด้วยผักสลัดนานาชนิดที่เราชอบ  แต่เลือกผักไม่ต้องใบใหญ่มากนักซ้อนกัน 2-3 ใบ  ตักปลาแซลมอนผัดมาวางบนผักอีทีใส่ประมาณ 2-3 ชิ้น  แล้วม้วนแป้งให้เป็นโรล  รับประทานคู่กับซอสซัลซ่า  เพื่อให้ได้รสชาติเปรี้ยวหวานเผ็ด    สำหรับซอสซัลซ่านั้น  ทำไม่ยากเลย  แค่เตรียม น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ล 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ, เกลือป่น 1/4 ช้อนชา, พริกหวานสีเหลืองและเขียว  หั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ 1/2 ถ้วย  และหอมหัวใหญ่ซอยเล็กๆ 1/2 ถ้วย  นำทุกอย่างมาคลุกเคล้าเข้าด้วยกันชิมรสให้ถูกใจ  แค่นี้ก็พร้อมเสิร์ฟคู่กับแซลมอนโรลได้แล้ว เพื่อนๆทดลองทำตามที่แนะนำด้านบนได้เลยส่วนรสชาติ ถ้ามันเปรี้ยวหรือหวานไปก็ค่อยๆ ปรับ ลดเพิ่มตามอัตราส่วนดูละกัน ขอบคุณมาก.....

เปรี้ยวนำสะใจ "ปลาเก๋านึ่งมะนาว"

             ปลาทะเลมีหลายชนิด ปลาทะเลให้โปรตีน มีไอโอดีน ที่ช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากสารอาหารเหล่านี้ เมื่อทานมากๆ ร่างกายของเราก็จะแข็งแรง  แต่มีปลาชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมกันมาก แม้เนื้อมันจะเหนียวนิด แต่รับรองว่าอร่อย สาเหตุที่นำปลาเก๋ามาทำเป็นเมนูปลาเก๋านึ่งมะนาวนี้ เพราะว่าปลาเก๋านั้นมีลักษณะพิเศษคือ เนื้อปลานิ่มฟู นุ่ม และขาวเมื่อนึ่งออกมาแล้ว และหนังของปลา จะมีเนื้อหนา เมื่อนำไปนึ่งแล้วจะทำให้หนังปลาไม่หลุดลุ่ยดูไม่สวย แต่ปลาเก๋านั้น จะยังคงรูปของตัวปลาไว้อย่างงั้นแหละ
            วันนี้มีเมนูอาหารมาแนะนำอีกเมนู ที่เป็นอาหารที่อร่อยมาก คือ ปลาเก๋านึ่งมะนาว เราไปเลือซื้อปลามาจากตลาดสด เลือกตัวที่ขนาดกลาง ประมาณ ห้าตัวกิโล ดูที่ตาปลาให้เอาที่ตาใสๆ ไม่ขุ่นและเหงือกเป็นสีแดง ตัวปลาไม่เละ แล้วก็นำมาล้างให้สะอาด ขอดเกล็ด  เอาไส้ออกแล้วก็นำมาแล่เนื้อปลาเป็นชิ้นบางกำลังดีจากนั้นต้มน้ำให้เดือด  นำเนื้อปลาเก๋าสดที่เตรียมไว้ใส่ลงไปลวกประมาณ 5 นาทีจะทำให้เนื้อปลาไม่เละ แบะมีรสชาติกำลังดี เมื่อสุกแล้วใช้ทัพพีตักขึ้นมาพักไว้

มาชิมกันค่ะ
หน้าตาน่าอร่อย

           




                    แล้วหันมาปรุงน้ำยำสูตรจัดจ้าน  โดยเริ่มตำกระเทียมสับ หอมแดง และพริกขี้หนูให้ละเอียด  ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว  น้ำตาลและน้ำปลา  คนให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำน้ำที่ผสมไว้มาเทราดลงบนเนื้อปลาเก๋าลวกสุก  ตกแต่งให้น่ารัประทานด้วยกระเทียมซอย มะนาวฝานชิ้นบางๆ ตบท้ายด้วยใบสะระแหน่เป็นอันเสร็จเรียบร้อย สำหรับน้ำยำนั้นมีสมุนไพรของไทยอยู่หลายชนิด เมื่อทานแล้วจะรู้สึกเผ็ด แซบมาก ตองค่อยๆ ทานกันน่ะ  ถ้าเราไม่ใช้ปลาเก๋า เราอาจจะหาปลากระพงก็ได้น่ะ เพราะรสชาติ ดีเหมือนกัน อร่อยไม่แพ้กันเลยละ แล้วหั่นขิงสดซอยเข้าไปราดบนตัวปลาน่ะ อร่อยอย่าบอกใครเลย แซบมากๆๆ
          หรือถ้าใครรักสุขภาพ มีทริกให้คือ อาจใช้น้ำผึ้งให้ความหวานทดแทนน้ำตาลได้  แม้รสชาติอาจผิดแปร่งไปบ้าง  แต่ให้คุณประโยชน์ที่ดีต่อร่างกาย และสุขภาพของคนที่คุณรัก  เอาสูตรนี้ไปลองทำกันดูน่ะ ....

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554

ซี่โครงแกะหมักโรสแมรี่ กับสตูผักอบ

         เบื่อเนื้อหมู เนื้อวัว วันนี้มาลอง เนื้อแกะ ที่เด็กชอบเลี้ยงกันดู(ในนิทานเด็กเลี้ยงแกะ) ผมล้อเล่นน่ะครับ   ใคร ที่ชอบทานเนื้อแกะ เร่เข้ามาได้เลย...วันนี้ ผมเจ้าของบ้านได้สูตรมาอีกแล้ว และมาบอกให้เพื่อนๆ ได้ทำตามกันดูน่ะ   ยอมให้สูตรมาอย่างหมด เปลือก เผื่อจะเป็นทีเด็ดให้คุณสาวๆทั้งหลายได้ใช้ มัดใจชายได้บ้าง เพราะเมนูนี้เป็นอาหารจานแรกๆ ที่ผมทำให้คนที่รัก รับประทาน และติดใจมาจนทุกวันนี้ เนื่อง จากไม่ยุ่งยากมากในการทำ แถมรสชาติ อร่อย และพรีเซนเทชั่นสวยอีกด้วย เรียกว่าเป็นเมนูที่เรียบง่ายแต่ดูหรู
        ก่อนเริ่มปรุงให้นำซี่โครงแกะออกจากตู้เย็นให้คลายความเย็นประมาณ 20 นาที ตั้งกระทะให้ร้อนไฟแรงไม่ต้องใส่น้ำมัน นำซี่โครงแกะลงไปในกระทะ เพื่อให้ด้านนอกของซี่โครงแกะเหลือง พลิกให้ทั่วทั้งสองด้าน ให้พอขอบเหลืองไม่ต้องสุก เรียกว่าการเซียร์ (sear) เป็นวิธีการล็อกความชุ่มชื้นของเนื้อแกะไว้ ให้กรอบนอกนุ่มใน
จากนั้นนำซี่โครงแกะใส่ถาดที่รองฟอยล์ไว้ด้านล่าง โรยก้านโรสแมรี่ไว้รอบ ๆ ถาดและบนเนื้อแกะ โรยเครื่องเทศ นำเข้าเตาอบที่วอร์มไว้แล้วก่อนหน้าในอุณหภูมิประมาณ 230 องศาเซลเซียส 4-5 นาที เมื่อนำซี่โครงแกะเข้าเตาอบให้ตั้งอุณหภูมิไว้ที่ประมาณ 170 องศาเซลเซียส ประมาณ 8 นาที แล้วพลิกกลับอีกด้าน เมื่อจะทานจึงราดด้วยมิ้นท์ซอสรู   
       มื่อซี่โครงแกะใกล้เสร็จให้เตรียมหน่อไม้ฝรั่งเพื่อทานคู่กัน นำหน่อไม้ฝรั่งไปนึ่งโดยใส่เนยจืดลงไปด้วยประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ โรยเกลือเห็ดทรัฟเฟิล ปิดฝา ความร้อนปานกลางประมาณ 5 นาที คุณทิมบอกด้วยว่าควรทาน แลมพ์ชอพ คู่กับสลัด เติมความอร่อย ด้วยการใส่ เบคอนกรอบ ลงไปคลุกกับผักสลัดและหั่นแอปเปิ้ลเขียว เป็นชิ้นเล็ก ๆ ผสมลงไปในตอนท้าย
            
ซีโครงแกะหมักโรสแมรี่
วิธีปรุง
1. นำซี่โครงแกะไปหมักกับเกลือ โรสแมรี่ กระเทียม ครึ่งชั่วโมง 
2. ใส่น้ำมันมะกอกลงกระทะ นำแกะวางลงในกระทะ ทอดโดยใช้ไฟแรง (ประมาณ 2 นาที) สังเกตพอให้เนื้อแกะเป็นสีน้ำตาล จึงกลับอีกด้าน ทอดต่อ (อีกประมาณ 2 นาที) จึงนำขึ้น เนื้อภายนอกพอสุก เนื้อด้านในจะอยู่ระดับมีเดียม ระวังอย่าทอดนานไปเพราะเครื่องหมักจะไหม้ และเนื้อแกะจะแข็งเกินไป 
3. น้ำมันที่ใช้ทอดแกะสามารถนำมาเป็นส่วนผสมของน้ำซอสเกรวี่ โดยใส่น้ำซุปหรือน้ำสต็อกกับแป้งสาลีลงไป จากนั้นคนให้เข้ากันพอให้ น้ำข้นเล็กน้อย เติมเกลือ พริกไทย ซอสเปรี้ยว
4. เวลาเสิร์ฟก็ราดน้ำซอสเกรวี่ลงบนแกะที่ทอดไว้แล้ว

เครื่องปรุงหมักแกะ
ซี่โครงแกะหั่นเป็นชิ้นติดกระดูก  500 กรัม
กระเทียมสับ  1  ช้อนชา
มัสตาร์ด  1 ช้อนโต๊ะ
ไวน์แดง 1/2 ถ้วยตวง
ซอส   2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วขาว  2 ช้อนโต๊ะ
โรสแมรี่  1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ   พอประมาณ
พริกไทยดำบดสด   พอประมาณ
น้ำมันมะกอก  1 ถ้วยตวง
วิธีทำ
      นำชามผสม ใส่เครื่องปรุงหมักแกะลงไปผสมทั้งหมด ยกเว้น น้ำมันมะกอก แล้วคนให้เข้ากัน แล้วค่อยเทน้ำมันมะกอกลงทีละน้อย  ตีให้เข้ากัน   และนำซี่โครงแกะมาหมักกับน้ำหมัก ให้หมักค้างคืน หรือหมักอย่างน้อย 2 ชั่วโมง  ก่อนนำไปย่าง   นำกระทะแบนตั้งไฟให้ร้อน  นำซี่โครงแกะที่หมักแล้วลงไปนาบให้สุกนอก  แต่ข้างในเนื้อแกะยังแดงอยู่ จัดใส่จานเสิร์ฟ  ในกระทะเดียวกัน  เทน้ำหมักที่เหลือลงไปผัดให้ร้อน  แล้วราดไปบนซี่โครงแกะเสิร์ฟพร้อมกับสตูผักอบ

เครื่องปรุงสตูผักอบ
น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสับ  1 ช้อนโต๊ะ
หอมใหญ่หั่นเต๋า  2 ลูก
มะเขือเทศหั่นเต๋า  2 ลูก
ซูกินี่สีเขียวหั่นเต๋า  1 ลูก
ซูกินี่สีเหลืองหั่นเต๋า  1 ลูก
มะเขือม่วงหั่นเต๋า  1 ลูก
ใบไทม์  พอประมาณ
เกลือ  พอประมาณ
พริกไทยขาวป่น   พอประมาณ
พาเมซานชีส  พอประมาณ

วิธีทำ
      นำกระทะตั้งไฟ  ใส่น้ำมันมะกอกให้ร้อนใส่กระเทียมสับ แล้วผัดให้พอมีกลิ่นกระเทียมหอม  แล้วใส่หอมใหญ่หั่นเต๋า  ซูกินี่สีเขียวหั่นเต๋าซูกินี่สีเหลืองหั่นเต๋า  มะเขือม่วงหั่นเต๋า  มะเขือเทศหั่นเต๋า ใส่ลงไปผัดให้ทั้งหมดเข้ากัน จะเริ่มเห็นสีสันแล้ว สวยมากเลย  เมื่อผัดให้เข้ากันสักพักแต่อย่านาน แล้วปรุงรสด้วยเกลือ  พริกไทยขาวป่น  ใบไทม์  ผัดให้เข้ากัน  เทผักที่ผัดไว้ลงในถาดอบ  แล้วเกลี่ยให้เสมอกัน  โรยหน้าด้วยพาเมซานชีส  นำถาดอบเข้าเตาอบ  ตั้งอุณหภูมิที่ 250  องศาเซลเซียส นาน 10 นาที  หรือจนกระทั่งร้อนและยกออกจากเตาอบ  ตักเสิร์ฟกับซี่โครงแกะย่างราดซอสน้ำหมัก  แค่นี้เราก็จะได้เมนู ซี่โครงแกะหมักโรสแมรี่กับสตูผักอบ  ที่แสนอร่อยแล้วละ ลองไปทำให้คนที่รักดูนะ.....

ลาซัญญ่าเนื้อ

          มันเป็นเมนูของฝรั่งเค้าครับ วันนี้ผมอยากทาอาหารแบบฝรั่งขึ้นมา เพราะว่าเคยได้ไปกิน ลาซัญญาเนื้อที่ โรงแรมหรูในกรุงเทพฯ มาก็เลยแอบ ไปขอสูตร พ่อครัว เค้าก็ไม่หวงน่ะ เค้าบอกหมดเลยว่ามีวัตถุดิบอะไรบ้าง แล้วก็วิธีการทำ และเทคนิกพิเศษ ที่จะทำให้เนื้อ ที่ใช้ทำนั้น นุ่ม ไม่เหนียว เมื่อทานแล้ว รู้สึกถึงเครื่องเทศที่ ใช้หมักเนื้อมากๆ เครื่องเทศที่ใช้ ก็หาได้จากท้องถิ่นที่บ้านเราแหละ ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล ก็มี พวก พริกไทยดำ ตะไคร้ ใบมะกูด ข่า ผมก็เลยได้รวบรวม ความคิดที่ได้ แล้วนำมาแบ่งปัน เพื่อนๆ ที่อยากจะทำเนูอาหารฝรั่งประเภทนี้ทานกันในวันหยุด ที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ก็เท่านนั้นแหละ .....ง   ก็เลยมาแนะนำการ ลาซัญญ่าเนื้อ กันน่ะ          
            ไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้วละ ไปตลาดหาซื้อของที่จะทำตามด้านล่างได้เลยเร็วๆ เนื้อที่ใช้ เป็นเนือวัว หรือเนื้อหมูก็ได้ แต่ความอร่อยมันก็คล้ายๆ กัน อาจจะเหนียวกว่ากันเล็กน้อย  แต่ที่นิยมเค้าจะนำเนื้อวัว มาทำกันมากกว่า ครับ  เครื่องปรุงส่วนประกอบในการทำจะเยาะพอสมควรน่ะ ค่อยๆ เดินเลือกซื้อ ไปละกัน

ลาซัญญ่าเนื้อ

วิธีทำ
             เปิดเตาอบให้ร้อนที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส  ในภาชนะสำหรับเข้าเตาอบ  ราดซอสมะเขือเทศสำเร็จลงไป  เกลี่ยให้ทั่วก้นถ้วยอบ   แล้ววางแผ่นลาซัญญาลงไปทับ  แล้วราดซอสลาซัญญ่า เนื้อสำเร็จที่ข้นแล้วลงไปทับให้ทั่วแผ่นลาซัญญ่า ราดหน้าด้วยซาวร์ครีมที่ผสมกับคอตเตจ ชีส เกลือ  พริกไทย  แล้วโรยมอสซ่าเรลล่าชีสขูด  และพาเมซานชีสให้ทั่ว  แล้ววางแผ่นลาซัญญ่าทับลงไปอีกครั้ง  แล้วทำเหมือนเดิมให้ครบประมาณ 4 ชั้น   ชั้นสุดท้ายจะจบลงตรงที่โรยหน้าด้วยมอสซาเรลล่าชีสขูดและขนมปังป่น  แล้วนำขึ้นเตาอบ  ใช้เวลาอบประมาณ 10 นาทีหรือจนกระทั่งร้อนและสุก  ยกออกจัดใส่จาน เสิร์ฟร้อนๆ
            เป็นไงบ้างวิธีการเตรียมเครื่องปรุ่งค่อนข้างเยาะ เพราะมันมีลายละเอียดมากในการทำแต่ละชิ้น ต้องค่อยๆวางซ้อนกันทีละชิ้น เพราะว่าแต่ละชิ้นมันมีหลายชั้น ต้องค่อยๆ ทำทีละชั้น ๆ แต่มีทริก เล็กๆ คือ ที่เราต้องใส่น้ำซอสมากๆ เพราะว่าเส้นลาซัญญ่าจะดูดเข้าไปทั้งหมดจะทำให้เส้นมีรสชาติมากขึ้น เพื่อนๆ ลองเอาวิธีการทำนี้ไปทำให้กับคนที่คุณรักดูน่ะแล้วเขาจะติดใจ จนร้องขอให้คุณทำให้ทานใหม่อีกแน่ๆ เลยยยย......


วิธีทำเครื่องปรุงซอสมะเขือเทศ
น้ำมันมะกอก   2 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสับหยาบ   1 ช้อนโต๊ะ
หอมหัวใหญ่สับ  1 ถ้วยตวง
เนื้อบด  500 กรัม
ซอสมะเขือเทศสำเร็จ ใช้ผัดสปาเกตตี 250 มิลลิลิตร
น้ำซุปเนื้อ    250  มิลลิตร
โหระพาฝรั่งซอย  50 กรัม
พาสลีย์สับ   1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ  1/2 ช้อนชา
พริกไทยดำสดบด 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ 
           นำกระทะตั้งเตาให้ร้อน  ใส่น้ำมันลงไปพอร้อน  ใส่กระเทียมและใส่หอมใหญ่สับผัดพอหอม  แล้วให้ใส่เนื้อบด เป็นเนื้อวัวหรือหมูก็ได้น่ะ ผัดให้สุก  แล้วใส่ซอสมะเขือเทศสำเร็จ ลงไปแล้วตามด้วยน้ำซุป ใบโหระพา และพาสลีย์ ผัดให้เข้ากัน  ปรุงรสด้วยเกลือ  พริกไทยดำสดบด ผัดให้เข้ากัน  แล้วชิมรสชาติ ตามใจชอบ  ยกออกพักไว้  เราก็จะได้ซอสที่ข้นแล้ว

วิธีทำเครื่องปรุงลาซัญญ่าเนื้อ
ซอสมะเขือเทศสำเร็จ  250 กรัม
แผ่นลาซัญญ่าลวกสุกแล้ว 10 แผ่น
ซอสลาซัญญ่าเนื้อสำเร็จที่ข้นแล้ว   3 ถ้วยตวง
ซาวร์ครีม   250 กรัม
คอตเตจ ชีส  250 กรัม
เกลือ   พอประมาณ
พริกไทย   พอประมาณ
มอสซาเรลล่าชีพขูด  250 กรัม
พาเมซานชีส  250  กรัม
ขนมปังป่น  1 ถ้วยตวง

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2554

กุยช่ายแป้งสด

       อาหารทานเล่นที่เมื่อเอยถึง ไม่มีใครไม่รู้จัก เป็นอาหารทานเล่นเมื่อตอนเด็กๆ พ่อซื้อมาให้ทานประจำ เป็นอาหารทานเล่นที่ให้ประโยชน์มาก ทานทุกครับไม่เบื่อ อาหารที่ว่านั่นก็คือ    กุยช่ายแป้งสด  เป็นอาหารว่างที่ทานได้ทุกเวลา จะเรียกได้ว่าเป็นทั้งอาหาร หรือขนมก็ได้ แต่ขอเรียกว่าขนมละกันน่ะ ขนมกุยช่ายมีประโยชน์ต่อร่างกายคือให้โปรตีน และวิตามินจากผักใบเขียวที่ใช้ทำเป็นไส้ คือไส้ใบกุยช่าย ไส้หน่อไม้ ไส้กะหล่ำปลี  หรือมีอีกหลายใส่ที่เราอยากจะใส่ลงไปก็เพิ่มความอร่อยให้กับขนมกุยช่ายได้

ไส้กุยช่าย คือใบกุยช่าย
            อุปกรณ์ที่จะใช้ทำกุ่ยช่าย ก็จะมี หม้อแขกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8 นิ้ว  สำหรับทำกุยช่ายแป้งสดใช้หม้อ 2 ใบ  พร้อมฝาครอบ, เตาแก๊ส, ที่ปาดแป้ง  และอุปกรณ์กระจุกกระจิกอย่างอื่นที่จำเป็นสำหรับเราที่จะต้องเตรียมในการทำให้กับคนที่รักกินกันน่ะ
         ส่วนแป้งที่ใช้ทำขนมกุยช่าย เราใช้แป้งข้าวเจ้า 1 กก.  จะใช้แป้งมัน  500 กรัม  แป้งหมี่ 500 กรัม  น้ำ 2 ขวด(3 ลิตร) ผสมแป้งและน้ำ  คนให้เข้ากัน  ก็ใช้ได้  ระหว่างที่ทำขนมต้องคนแป้งเรื่อยๆ  เพื่อไม่ให้แป้งในหม้อนอนก้นน่ะ อันนี้เป็นทริก อย่าลืมถ้าแป้งนอกก้นแล้วมันจะได้แป้งที่ใส แล้วจะไม่สามารห่อไส้ได้ คือมันจะ อ่อนมาก   หลังจากนั้นต้มน้ำให้เดือด แล้วเทใส่หม้อแขกประมาณค่อนหม้อ  ขึงปากหม้อด้วยผ้าขาวบาง  และตัดผ้าขาวบาง ส่วนที่อยู่ด้านบนฝาหม้อออกนิดเพื่อให้มีไอน้ำออกมา  ยกหม้อแขกขึ้นตั้งไฟบนเตาแก๊ส  เปิดไฟร้อนตลอด  เพื่อให้น้ำเดือดระหว่างที่ทำต้องหมั่นเติมน้ำให้อยู่ในระดับเดิมเรื่อยๆ เพราะว่าถ้าน้ำแห้งเมื่อไร เราก็จะได้แป้งกุยช่ายที่ไม่เป็นแผ่นที่สวย และเมื่อเวลาแคะออกจากหม้อ มันทำให้ไม่สะดวก แล้วผ้าที่ขึงบนปากหม้อนั้น ก็จะขาดได้

วิธีการทำ เมื่อเทแป้งและทำการห่อไส้ แล้วตักออกใส่ถาด
             วิธีทำ  ตักแป้ง 1 ทัพพี ใส่ลงบนผ้าขาวบางที่ขึงไว้ ละเลงแป้งเป็นรูปวงกลมให้ทั่ว  ปิดฝาครอบแล้วทำแบบนี้อีกด้านหนึ่งของปากหม้อ  จากนั้นย้ายมาเปิดฝาที่ครอบแป้งชุดแรกออก  แป้งจะสุกพอดี  ตักไส้กุยช่ายใส่ลงบนแป้งพอประมาณใช้ที่ปาดหรือไม้พายปาดแป้งปิดไส้ขนม  โดยปิดทั้งสี่ด้าน  เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  จากนั้นตักวางพักลงบนถาดที่ทาน้ำมันเพื่อกันไม่ให้แป้งติดกับถาด
              การทำไส้ขนม  ถ้าเป็นไส้ใบกุยช่าย  ก็ผัดใบกุยช่ายสด  กับเนื้อหมู กุ้งแห้ง  ซึ่งเป็นการผัดน้ำมันธรรมดา ปรุงรสด้วยซีอิ้ว น้ำตาล น้ำปลา  สำหรับไส้กะหล่ำปลี  และไส้หน่อไม้  ทำวิธีเดียวกับไส้กุยช่ายแต่จะทำ 2 ส่วนคือ ส่วนกะหล่ำปลี หรือหน่อไม้หั่นที่ผัดกับหมูและกุ้งแห้ง  และอีกส่วนให้ใช้เห็ดหอมหั่นผัดน้ำมัน  ซึ่งไส้กะหล่ำปลีและไส้หน่อไม้นั้นนอกจากใส่กะหล่ำปลีและไส้หน่อไม้แล้วก็ต้องใส่เห็ดหอมลงไปเพิ่มด้วยประมาณ 2-3 ชิ้น  ส่วนตัวแล้วชอบทานกุ่ยช่าย ที่มีไส้ หมูสับ ผสมกับใบกุยช่ายมาก มันได้ความหอมหวานเค็ม นุ่มลิ้นมาก แล้วนำซอสพริก มาทำเป็นน้ำจิ้มก็อร่อยไปอีกแบบน่ะ

ใส่กล่องพร้อมเสิร์ฟ ราดกระเทียมเจียว
             ส่วนเวลารับประทานก็ตักกุยช่ายพร้อมกระเทียมเจียวและต้องมีซีอิ๊วดำกับพริกส้ำส้มที่ใส่พริกสดลงไปด้วย แซบ จริงๆๆ แบแนมไปด้วยผักสด เช่นผักชี ผักกาดขาว พริกสด รับรองอร่อย มาก ๆ ไปด้วย จะทานคู่กัน ทำให้อร่อยมาก นอกจากทำขนมกุยช่ายแล้ว ยังสามารประยุกต์ทำเป็นก๋วยเตี๋ยวหลอดควบคู่ไปด้วยก็ได้ ทำวิธีเดียวกัน แต่ใส้ก็จะมี หมูสับ ถั่วงอก ผักชี ถั่วลิสงขั้ว ฯลฯ แล้วก็นำมาวาง แบๆ แล้วก็นำไส้ก๋วยเตี๋ยวหลอดที่เราได้เตรียมไว้มาวางบนจานหรือถาด เพื่อเตรียมเอาไส้เข้ามารวมกันไว้ตรงกลาง แล้วนำมาม้วนให้เป็นเส้น แล้วก็ เตรียมผักใบชพลูมาแกล้วได้  วิธีการทำก็เหมือนกับ กุยช่าย แต่เปลี่ยนแค่ไส้เท่านั้นเอง... ลองไปทำดู เป็นเมนูที่แนะนำอยากให้ไปรับทานกันทั่ว....
ทีนี้เราก็จะมีเมนูอาหารว่างมาให้กับคนที่คุณรักกินเล่นและอิ่มอีกด้วยน่ะ.......

แซบซ่านลิ้นกับสลัดกุ้งอะโวคาโด

         สลัดกุ้ง เป็นเมนูที่น วันนี้มาแนะนำอาหารเพื่อสุขภาพกันค่ะอาหารว่าง ทานเล่น ได้หรือจะทานตอนมื้อเย็น เพื่อช่วยให้เราไม่ต้องทานอาหารเย็นมากนัก ดีต่อสุขภาพ ย่อยง่าน เพราะว่าตอนกลางคืนเราไม่ได้ใช้กำลังงานอะไรมากนัก ถ้าเราหาอาหารทีเป็นพวกสลัดมารับประทาน ก็จะช่วยให้เรา มีหุ่นที่ดีขึ้น และเพื่อเพิ่มไฟเบอร์ให้ระบบการย่อย  และช่วยให้ระบบขับถ่ายของเราปกติ และดีต่อสุขภาพจะช่วยให้ลดน้ำหนักได้ แต่เมื่อลดจริงจังเลขบ่งชี้น้ำหนักบนตราชั่งไม่ขยับ อาจจะเป็นเพราะระบบย่อยอาหารของเราอาจจะไม่ดีก็เป็นได้น่ะ

หน้าตาและส่วนประกอบหลักที่ใช้ในการทำ ค่ะ
              พอดีมีเพื่อนสนิทแนะนำมาค่ะให้รับประทานอาหารตามกรุ๊ปเลือด เพื่อนเค้ารับประทานอยู่แล้ว เลยทำตามที่เพื่อนแนะนำมาทำให้รู้ว่าคนกรุ๊ฟเลือดนี้ควรรับประทานผักประเภท บรอกโคลี, คะน้า, ผักคอท, ผักโขม, ลูกพรุน และลูกฟิกซ์ เนื้อสัตว์ควรเป็นปลาน้ำเค็มใต้ทะเลลึก เช่นปลาซาร์ดีน, ปลาแซลมอน, ปลาทูน่า และรับโปรตีนจากเนื้อวัว และเนื้อได้  แต่ผักอย่างดอกกะหล่ำ, ส้ม,  เมล่อน, มะพร้าว และสตรอเบอรี่  ทำให้อ้วนได้  หลังทดลองมา 2 เดือนควบคู่กับการออกกำลังกายเห็นผลว่า น้ำหนักเริ่มลดลง
        เรามีสูตรเด็ดจะโชว์คือ "สลัดอะโวคาโดกุ้งแซบ" อาหารจานหลัก โดยมีส่วนผสม ผักคอท, กุ้งแชบ๊วย  ประมาณ 10 ตัว, อะโวคาโด ครึ่งลูกหรือ 1 ลูก, มะเขือเทศสีดา 1 ถ้วย, มายองเนส 4 ช้อนโต๊ะ สูตรโลแฟต หรือสูตรมายด์, น้ำจิ้มซีฟู้ด 3 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลปี๊บ, น้ำปลา, มะนาว, พริก, กระเทียม นำเครื่องปรุงแต่ละอย่างมาผสมรวมกัน ค่อยๆ ปรุง แล้วคนพลิกไปมา จนแน่ใจว่าเครื่องปรุงต่างๆ ในหม้อ แล้วก็นำกุ้งที่ทำเสร็จแล้วใส่จาน เตรียมไว้
          ก่อนลิ้มรสอาหารอร่อยเริ่มทำ "น้ำสลัด ไทเกอร์ซอส"  รสจัดจ้านเป็นอันดับแรก  โดยนำพริกและกระเทียมมาโขลกให้ละเอียด  เติมน้ำมะนาว และน้ำตาลปี๊บ  ทำเป็นน้ำจิ้มซีฟู้ด  ทั้งนี้เพื่อนๆ แนะนำเทคนิคว่า  น้ำตาลปี๊บช่วยให้น้ำจิ้มรสชาติกลมกล่อมยิ่งขึ้น  เสร็จแล้วตักใส่ถ้วย  ผสมกับมายองเนสใช้ช้อนคนให้ทั่ว หั่นกระเทียมเป็นชิ้นบางๆ ใส่ตามลงไป ต่อมาใส่อะโวคาโดที่หั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า  และกุ้งแชบ๊วยต้มสุก คลุกเคล้าให้น้ำสลัดซึมเข้าเนื้อ

น้ำสลัดสูตรที่2
           วิธีการทำน้ำสลัด ก็มีเครื่องปรุงไม่กี่อย่าง คือ หาถ้วยมาบีบมายองเนสลงไป ประมาณ 3-4 ช้อนโต๊ะ  ต่อไปก็นมข้นหวาน สองช้อนโต๊ะ อย่าให้หวานเกินไป
ตามด้วยซอสมะเขือเทศ สองช้อนโต๊ะ  ตามด้วยเกลือครึ่งช้อนชา น้ำมะนาวหนึ่งช้อนโต๊ะ พริกไทยตามชอบ เอาช้อนคนให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ เคยไปทานครีมซอสที่อร่อยมากแต่ไม่รู้ว่าเค้าใส่อะไร เพราะว่า ครีมซอสคิดเองตามความชอบเคยไปทานแล้วติดใจ จนมีอยู่วันหนึ่ง ไปเห็นที่ไหนจำไม่ได้เขาบีบนมข้นหวานใส่ไปในสลัดครีม จึงเกิดความคิดขึ้นว่า ใช่แล้ว รสหวานที่เราชอบในครีมสลัดเกิดจากนมข้นหวานนี่เองจากนั้นก็เริ่มใส่โน่นเติมนี่ไปจนได้รสที่เราคิดว่าใช่เลย นี่แหละครีมซอสที่เราชอบ ทานกับกุ้งทอดและผักสลัด อร่อยสุดยอดไปชิมอาหารที่ร้านนั้น แล้วก็ลักจำมา โดยการชิม แล้วมาทดลองทำเอง ก็ได้ดังสูตรที่เห็นนั่นแหละ  เมื่อได้นำสลัดแล้ว จะนำไปแช่เย็นไว้ก่อนก็ได้ ต่อไปเราก็จัดผักสลัดที่ล้างแล้วใส่จานใบสวย  เพื่อเตรียมไว้

กำลังปรุงคลุกเคล้าให้เข้ากัน
           จากนั้นนำผักคอทและมะเขือเทศลงจัดบนจาน ผักแต่ละชนิดที่เรานำมาล้างนั้น จะให้วิตามินหลายชนิด เช่นวิตามินเอ บำรุงสายตา วิตามินซี ป้องกันโรคหวัด ได้ดี  ก็แราก็มาจัดภาชนะที่เราจะใส่ให้ดูสวยดีกว่าน่ะ ก็ แล้วแต่ความพิถีพิถันของแต่ละคนว่าจะให้ออกมาสวยเริดขนาดไหน  เมื่อจัดหน้าตาของจานพอสวยเป็นที่ประทับใจ  จนพอใจตักน้ำสลัดไทเกอร์ซอส ลาด แค่นี้ก็ได้สลัด ที่อุดมวิตามินและไฟเบอร์แบบไม่ต้องกลัวอ้วน อีกต่อไป แล้วอย่าลืมทำให้กับคนที่คุณรักน่ะ แล้วสุขภาพของพวกเขาก็จะแข็งแรง .....

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

กบผัดเผ็ดใบกะเพรา

                 กบ กบ กบ วันนี้จะนำกบมาทำเป็นอาหาร กบเป็นกบนาน่ะครับ มันเป็นกบที่อยู่ตามทุ่งนาข้าว ไม่ใช่กบเลี้ยง เนื้อความนุ่มมันไม่เหมือนกัน กบธรรมชาติ มันหากินเอง กินแมลง กินลูกปลา ฯลฯ ในทุ่งนา วันนี้ผมเลยไปหาซื้อจากชาวบ้านที่เค้าหามาได้ ก็ตกกิโลกรัมละ 60 บาท และให้เค้า ทำการ ชำแหละกบให้เลย เพราะว่าไม่อยากเป็นคนฆ่า กลัวบาป (แต่ยังอยากกิน) ฮ่า .. ล้อเล่นน่ะ ก็พอดีให้เค้าทำให้เลย โดยการชำแหละ แยกชิ้นส่วนเอาไว้ พอกลับถึงบ้าน เราก็เริ่มลงมือทำได้เลย แค่เตรียมเครื่องปรุงอีกนิดหน่อย แล้วก็ได้กินแล้วว               
               สำหรับวันนี้เมนูเด็ด แซบมาให้เพื่อนๆ ได้ลองทำกันอีกแล้วค่ะ นั่นคือ  "กบผัดเผ็ดในกะเพรา"  อาหารจานนีต้องขอบอกไว้ก่อนน่ะค่ะว่า มีกลิ่นคาวนิดหน่อย  ถ้าเป็นคนไทยก่อนที่จะเอากบไปผัดเผ็ดโดยมากแล้วจะเอากบไปหมักรากผักชี  กระเทียบ  พริกไทย  แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วเอาไปย่างให้เนื้อกบตึงๆ แต่ยังไม่สุกเสียทีเดียว เดี๋ยวเราทำให้สุกอีกทีตอนนี้ทำแบบ คร่าวๆก่อน
            จากนั้นเอามาฉีก  หรือเอาแต่เนื้อกบหรือจะสับเป็นชิ้น ๆ ก็ได้เสร็จแล้วเอากระทะตั้งไฟแค่พอร้อน  นำเครื่องตำที่โขลกไว้ในตอนแรกใส่ลงไปผัดให้หอม  เสร็จแล้วใส่เนื้อกบที่หมักเตรียมไว้ลงไปผัด  โดยผัดให้เข้ากับเครื่องตำและปรุงรสตามต้องการ  ก่อนปิดไฟ  ใส่ใบกะเพราคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วถึงจะยกเสิร์ฟได้ทันที
             แต่ว่ววันนี้เชิญมาชิมเป็นเนื้อกบล้วนๆ นะ  ซึ่งการผัดกบผัดเผ็ดใบกะเพราะที่ดี  ควรจะให้ถึงเครื่องตำและใช้ไฟแรงในการผัด  จะช่วยให้มีกลิ่นหอมไม่เหม็นคาว เพราะว่าเราได้ใส่สมุนไพรไทยเข้าไปผสมค่อนข้างเยาะพอสมควร เพราะว่าสมุนไพรไทยนอกากให้ประโยชน์แล้วยัง เป็นยารักษาโรคต่างๆ ได้อีกด้วย กินเยาะๆ ดี แน่นอน ขอย้ำ ....
หน้าตากบผัดใบกะเพรา
              คนไทยส่วนมากมักจะไม่รู้ว่าอะไรคืออาหารไทยและลักษณะเด่นที่เป็นของไทยอยู่ตรงไหน  ซึ่งถ้าเรามีความรู้จะช่วยทำให้เราสามารถติ  หรือชมอาหารได้ถูก  โดยเราจะต้องมีความรู้เสียก่อนว่า  อาหารจานนั้นเป็นอาหารอะไร   มีวิธีการทำที่ถูกต้องเป็นอย่างไร  อะไรคือสิ่งที่ต้องระวังในการทำอาหาร  นั้นๆ  แล้วเราจะรู้ว่าอาหารที่รสชาติอร่อยนั้นเป็นอย่างไรด้วย
                ถ้าใครได้ทดลองชิมแล้วผมต้องบอกว่า  ควรจะต้องเข้าใจอาหารไทยและต้องรู้จักอาหารไทยเป็นอย่างดีด้วยถึงจะรู้ว่าอาหารไทยที่ทำนั้น อร่อยหรือ ไม่อร่อย  ทำได้ดีหรือไม่ดี  ที่ร้านนี้ถือเป็นการช่วยส่งเสริมให้อาหารไทยดีขึ้นและ จะได้นำเมนูนี้ไปบอกเล่าต่อกันว่าอาหารไทยอย่างกบผัดเผ็ดใบกะเพรา นี้อร่อย และให้คุณค่าประโยช์ต่อร่างกายอย่างมาก 

วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554

ไก่ต้มข่า

              วันนี้มาแนะนำเมนูอีก หนึ่งเมนู เป็นอาหารไทย คือ ไก่ต้มข่า  ไก่ที่นำมาทำนี้ ขอยำว่าต้อง เป็นไก่ดำเท่านั้น  เพราะว่าไก่ดำ เมื่อนำมาทำเป็นต้มยำ หรือทำน้ำซุบที่ได้จะมีความหวานหอม มาก และยังมีคุณค่าทางโภชนาการอีกด้วย อย่างเช่นที่เราเคยเห็นชาวจีน เค้านำไก่ดำมาทำเป็นน้ำซุบ ดื่มเพื่อบำรุงสุขภาพ  ไก่ดำที่นำมาปรุ่งนี้ ตกกิโลกรัมละ 200 บาท เพราะเราเน้นที่คุณภาพของไก่ และชาวบ้านทีนำมาขายเค้าเลี้ยงแบบ ธรรมชาติ คือให้ไก่กิน พวกวัชพืช อาหารที่เป็นธรรมชาติ ไม่ได้เลี้ยงด้วยหัวอาหาร จึงทำให้เนื้อไก่มีสีเหลืออ่อน สวย เนื้อนุม เหนียว เมื่อนำมาประกอบปรุงเข้ากันสามารถเข้ากัน กับสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพและบำรุงร่างกายอีกด้วย นั้นคือ "ไก่ต้มข่า"  ขั้นตอนแรก ให้เราเลือกไก่ เอาตรงส่วนที่เนื้อเยาะๆ คือ ส่วนสะโพก หรือตรงน่องก็ได้ หาซื้อตามห้างซุปเปอร์มาเก็ต จะมีชิ้นส่วนไก่ที่ชำแหละเป็นชิ้นๆ เราสามารถเลือกได้ตามใจชอบเลยค่ะ เมื่อได้ไก่มาแล้วก็นำไก่มาล้างน้ำให้สะอาด หันเป็นชิ้น หรือไม่หั่นก็ได้แล้วแต่ชอบทานเป็นชิ้นใหญ่หรือว่าชิ้นเล็กพอดีคำ



หน้าตาไก่ต้มข่า 
                เมื่อล้างไก่เสร็จแล้ว เรามานำหม้อใส่น้ำนำตั้งขึ้นเตาไฟได้เลย ตั้งให้น้ำเดือดเมื่อน้ำเดือดแล้วให้นำไก่ที่ล้างไว้ ใส่ลงไปได้เลย แล้วเบาไฟลง ขั้นตอนนี้ไก่ที่ต้มอยู่จะมีฟองลอยอยู่บนผิวน้ำที่เดือด ให้เราช้อนเอาฟองออก เพื่อที่จะให้ไก่ต้มขาดูน่ารับประทาน และจะทำให้น้ำซุบใสอะอาด และในช่วงที่เราต้มไก่ให้เปื่อยนี้ ก็หันมาล้างเห็ดฟางให้สะอาดดีกว่า โดยใช้มีดขูดบริเวณผิวของเห็ดเบาๆ แล้วนำไปล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำมาผ่าครึ่ง หรือถ้าดอกไหนเล็กก็ไม่ต้องผ่าครึ่งก็ได้   ส่วนข่า ให้ล้างและปอกเปลือกแข็งออก แล้วหันเฉียงๆ หรือ ถ้าหาข่าอ่อนมาก็ได้ รสชาด อร่อย เคี้ยวง่าย น้ำไก่จะมีรสชาติของข่า ออกมาเมื่อข่าแก่จะฉุน ส่วนตะไคร้ ลอกเปลือกแข็งออก แล้วหันเฉียงๆ  ใบมะกรูด ให้ฉีกเส้นกลางใบออก แล้วรูดเอาแต่ใบออกมาหรือจะนำมาหันก็ได้
             มีเทคนิคคือ ถ้าเราใสข่าให้มากกว่าตะไคร้ น้ำที่ได้จะหอมมาก เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็ไปดูไก่ที่ต้มไว้ในหม้อซิ ว่าเปื่อยหรือยัง ถ้าไก่เปื่อยดีแล้ว ก็ให้เร่งไฟให้น้ำเดือดอีกครั้ง  ใส่ซุบต้มยำก้อน คนอร ก็ได้ลงไปที่ให้เร่งให้น้ำเดือด ก็เพื่อให้น้ำมันหอมระเหยในเครื่องสมุนไพรออกมา หลังจากนั้นเบาไฟลง แล้วเอากระทิ เทใส่ลงไปประมาณ 250 มิลลิลิตร  น้ำกระทิควร ทำการขูดกระทิเองดีกว่า เพราะว่าเราจะได้หัวกะทิแท้ๆ มันต่างจากการใช้กะทิกล่อง หรือ มะพร้าวขูดสำเร็จที่ซื้อมานั้น คนขายจะไม่ให้หัวกะทิกับเรา เราทำเองดีกว่าน่ะ ถ้าชอบมันก็ใส่ให้มากกว่านี้ได้
              เมื่อล้างเห็ดเสร็จแล้วเห็นที่เรานำมาทำนั้นเป็นเห็ดฟาง เราจะเลือกเห็ดที่ยังไม่บานน่ะ เพราะว่าบานแล้วมันจะไม่อร่อย เห็ดที่กลมนั้น เวลาทานแล้วเข้าไปในปาก มันจะมีเสียงกรอบๆ เมื่อเราได้กัดตัวเห็น มันอร่อยมาเลยตรงนี้ ชอบมาก เห็นให้ประโยชน์ มีโปรตีนมากไม่แพ้ เนื้อ  แล้วเรา ก็มาเตรียมสมุนไพรไทยกันดีกว่า  สมุนไพรของเราที่จะใช้ มี ข่า ข่าท่ทใช้จะเป็นขาอ่อน เพราะว่าข่าอ่อน มันจะไม่เหนียว และไม่เหนียวมาก ตะไคร้ และใบมะกรูดเมื่อใส่ไปแล้วก็ให้เราทดลองชิมดูว่าเค็มพอหรือยัง  เพราะเครื่องต้มยำจะมีรสชาดในตัวอยู่แล้ว และให้ใส่เกลือนิดเดียว ถ้าชอบหวานก็ให้ใส่น้ำตาลนิดหน่อย ถ้าต้องการเปรี้ยวให้เติมน้ำมะนาวลงไป อย่าบีบแรงเดี๋ยวมันจะขมได้ เมื่อได้รสที่ต้องการแล้วก็เร่งไฟอีกนิด พอน้ำเดือดก็ใส่เห็ดลงไป พอเห็ดสุกก็ยกลงออกจากเตา ใส่ผักชีฝรั่งใส่ลงไป เพื่อเพิ่มความหอม ถ้าชอบเผ็ด ก็ใส่พริกขี้หนู ทุบให้แตกแล้วใส่ลงไป แล้วก็ พร้อมเสริฟให้ กับคนที่คุณรักได้แล้ว
ส่วนผสมประกอบด้วย
1. สะโพกหรือน่อไก่
2. เห็ดฟาง ประมาณ 100 กรัม
3. ผักชีใบยาว 5 - 10 ใบ หรือจะใช้ผักชีธรรมดาก็นะคะ
4. ซุบต้มยำก้อน 1 ก้อน (ขี้เกียจต้มน้ำสต๊อกอ่ะค่ะ)
5. ข่า 20 - 30 แว่น
6. ตะไคร้ 3- 5 ต้น
7. ใบมะกรูด 8 -12 ใบ
8. กระทิกล่องประมาณ 250 มิลลิลิตร
9. เกลือ
10. น้ำมะนาว
11. น้ำตาลนิดหน่อย
รายการจะเยาะหน่อยน่ะ เพื่อความอร่อยโปรดหาให้เยาที่สุดเท่าที่จะหาได้ รับรอง ติดใจกันทุกคนในครอบครับแน่นอน....

ต้มยำกุ้ง

                 วันนี้จะมาแนะนำเมนูอาหารคู่สุขภาพของคนไทย เป็นอาหารเสริมภูมิ ต้านทานหวัด แถมชื่อเสียงโด่งดังไปไกลจนถูกนำไปตั้งเป็นชื่อเรียกวิกฤติ การเงินระดับโลกมาแล้ว นั้นคือเมนู "ต้มยำกุ้ง"  กุ้งที่ใช้เป็นกุ้งแม่น้ำ ซึ่งหามาจากแหล่งน้ำจืด ที่ชาวบ้านเค้าไปตกมาแล้วนำมาขายในก็โลกรัมละ 250 บาท เนื้อของกุ้งแม่น้ำที่ได้จากแหล่งธรรมชาตินี้ จะมีเนื้อแน่น รสหวานตามธรรมชาติ อยู่แล้ว ตางจากการที่เรานำกุ้งที่ชาวบ้านเลี้ยง  มาทำเป็นอาหาร เนื้อกุ้ง และรสชาติ จะไม่เหมือนกันเลย ความอร่อย มันต่างกันมากๆ และเมื่อได้นำกุ้งที่ได้เตรียมไว้    ลงไปในน้ำต้มยำ ละก็ จะได้กลิ่นความสด ความมัน ของมันกุ้งตัวใหญ่ๆ  และความลับทั้งหมดของเมนูนี้อยู่ที่ในเครื่องต้มยำอันประกอบไปด้วยสมุนไพรไทยสารพัดชนิดนั่นเอง ช่วยในหารป้องกันโรคต่างๆ เพราะว่าสมุนไพรของไทยทุกอย่างล้วนแล้วมีประโยชน์แก่ผู้รับประทานยิ่งนัก ฉะนั้น เราควรหันมาบริโภค สมุนไพรไทยกันดีกว่า จะบริโภคกันสด ๆ ก็กะไรอยู่ เราจำคิดพลิกแพลงโดยการนำมาประกอบอาหารในเมนู ต้มยำกุ้งกันดีกว่า 
               ส่วนประกอบหลัก ได้แก่  กุ้งสด  เห็ดฟาง  น้ำพริกเผา  เกลือป่น  น้ำปลา  น้ำมะนาว  พริกขี้หนู  พริกแห้ง  ตะไคร้  หัวหอม  ข่า  ใบมะกรูด  ผักชี  และรากผักชี  นมสด  และน้ำสะอาด  

ต้มยำกุ้ง

           วิธีทำ ทำตามขั้นตอนตามนี้ได้เลยค่ะ ใสเครื่องปรุง อะไรก่อนหลัง ให้นำน้ำสะอาดเทใส่ในหม้อ แล้วนำหม้อขึ้นตั้งเตาไฟ จนน้ำในหม้อเดือด จากนั้น ใส่รากผักชีลงไปก่อน เพื่อให้น้ำหอมและมีกลิ่นรากผักชี จำไว้ว่าต้องให้น้ำเดือดก่อน จึงจะใส่รากผักชี เมื่ออย่างนั้น จะทำให้น้ำไม่หอม ถัดมา เติมเกลือป่น  น้ำปลา  น้ำพริกเผา  พริกขี้หนูตำพอบุบ ๆ อย่าให้ละเอียด  พริกแห้ง  ตะไคร้  หัวหอม  ข่า ใบมะกรูด  น้ำมะนาว  ปรุงรสตามใจชอบ  ใส่เห็ดฟาง  และกุ้งสดตามลงไป ปิดท้าย เป็นอันเสร็จเรียบร้อย  ถ้าเราจะทำเป็นต้มยำน้ำข้น ก่อนยกหม้อออกจากเตาให้เท นมสด ลงไป  ตักใส่ชาม ผักชีโรยหน้า พร้อมเสริฟ แล้วค่ะ ถ้ารสชาดยังไม่เปรียวจีดจ๊าด ก็ให้บีบน้ำมะนาวลงไปอีกนิดหน่อย แต่ถ้ายังไม่แซบ ก็ให้ตบพริกขี้หนูอีก สิบ เม็ด ลงไป รับรอบ คนที่คุณรักจะร้อง ซีดส์ กันแน่ๆ เลยค่ะ
             มาดูคุณค่าทางโภชนาการแต่ละอย่าง ของเครื่องปรุงที่นำมาทำ เมนู ต้มยำกุ้ง กันดีกว่าค่ะ
กุ้งสด   มีโปรตีนช่วยในการเจริญเติบโต  ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ  คอลลาเจนช่วยบำรุงผิว และซ่อมแซมร่างกาย  โอเมก้า 3 ช่วยเพิ่มไขมันดี  และบำรุงสมอง  วิตามินเคช่วยบำรุงกระดูกและช่วยให้เลือดแข็งตัวดี  เปลือกกุ้งมีของดีช่วยดักไขมัน  มันกุ้งให้วิตามินอีและเอ  แต่ให้ระวังอย่ากินเยาะเพราะมันกุ้ง  คือส่วนกรองขยะจะมีของเสียอยู่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ น่ะค่ะ
เห็ดฟาง   มีธาตุซีลีเนียมช่วยเสริมภูมิต้านทานป้องกันภูมิแพ้และมะเร็ง และเส้นใยเห็ดทำให้อิ่มท้อง ลดความอ้วนได้  ไม่ว่าเห็ดฟาง  เห็ดนางฟ้า  เห็นหอม เห็ดหูหนู  ล้วนแต่มีประโยชน์ ให้โปรตีนสูงไม่แพ้โปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ค่ะ
พริกขี้หนู   ให้วิตามินซี  เบต้า-แคโรทีน  ความเผ็ดจากสารแคปไซซินในพริกขี้หนูมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ  และช่วยขัดขวางสารก่อมะเร็งไม่ให้ทำลายเซลล์ที่ดีของร่างกาย
พริกแห้ง   มีกรดเผ็ด  เส้นใยและแคลเซียม
น้ำพริกเผา   ไม่เผ็ดแต่หอมด้วยน้ำมันผัดพริก  ช่วยเจริญอาหารและดึงวิตามินดี ๆ ที่ละลายในไขมันให้ซึมเข้าลำไส้ได้ดี
เกลือป่น   มีไอโอดีนช่วยให้คนที่เป็นความดันต่ำไม่มึนศรีษะบ่อย
น้ำปลา   มีโปรตีนย่อยง่าย  ช่วยปรับสมดุลยลำไส้
น้ำมะนาว   ให้วิตามินซี  และไบโอฟลาโวนอยด์ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี
ตะไคร้   น้ำมันตะไคร้ช่วยให้สดชื่น ช่วยย่อย  แก้ท้องอืด  ชูรสแก้เลี้ยน
หัวหอม   มีสารประกอบกำมะถันอยู่มาก  ช่วยลดไขมัน  ไล่หวัด  มีฤิทธิ์ช่วยเสริมภูมิสร้างเม็ดเลือดขาวป้องกันเชื้อโรค
ข่า   ช่วยลดอักเสบและฆ่าเชื้อ  ช่วยคุมอาการผิดปกติรอบเดือนในสาวๆ ให้มาปกติด้วย
ใบมะกรูด  มีน้ำมันหอมระเหยช่วยให้ผ่อนคลาย  ลดอักเสบบำรุงหัวใจ  แก้ช้ำใน ช่วยให้เลือดลมในสตรีเดินดี
ผักชีและรากผักชี   มีน้ำมันหอมระเหยช่วยย่อยอาหารได้ดี  มีฤทธิ์คุมน้ำตาลในเลือด  ช่วยฆ่าเชื้อในลำไส้
นมสด   ให้วิตามินดีและแคลเซียม
           เห็นสารพัดประโยชน์ของเมนู "ต้มยำกุ้ง" แล้วคงต้องถามว่า  วันนี้คุณกินต้มยำกุ้งแล้วหรือยัง?

วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2554

กุ้งแม่น้ำ ผัดซอสมะม่วง

           เมนูวันนี้เป็นเมนูอาหารไทยๆ อีกเมนู คือ กุ้งแม่น้ำ ผัดซอสมะม่วง กุ้งแม่น้ำ เป็นกุ้งน้ำจืด ที่ชาวบ้านไปตกมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ต่างจากกุ้งเลี้ยง มาก เนื้อกุ้ง รสชาติ ที่เมื่อนำมาทำอาหารแล้ว รสชาติของเนื้อกุ้งจะหวาน เพราะฉะนั้น เราจึงนำกุ้งแม่น้ำแท้ๆ นำมาทำอาหารดีกว่า กุ้งเลี้ยง แต่ราคาของกุ้งแม่น้ำนั้น ราคาจะสูงกว่านิดหน่อย แต่ความอร่อย ต่างกัน




                  เรานำเอา มะม่วงน้ำดอกไม้ นอกจากนิยมนำมารับประทานพร้อมข้าวเหนียวมูน ความเอร็ดอร่อยยังลงตัวกับเมนูอาหารคาวสไตล์ฟิวชั่นฟูด อย่างแทบไม่น่าเชื่อ  คนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบทำอาหาร มาการันตีพร้อมสาธิตทำเมนู "กุ้งแม่น้ำ ผัดซอสมะม่วง" ให้ได้ลิ้มรสความอร่อย และทำตามกันในวันว่าง หรือวันที่ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาในวันหยุดพักผ่อนกับครอบครัวที่คุณรัก

         ด้านการทำอาหารนั้น คุณแม่ให้เข้าครัวตั้งแต่เด็ก สมัยคุณยายเปิดร้านอาหารเมืองปักใต้  แล้วครอบครังของเราก็รับช่วงต่อจากคุณแม่ให้ทำหน้าที่ปรุงอาหารให้กับทุกคนในครอบครัว เรียกได้ว่าถ่ายทอดมาทางสายเลือดก็ได้  แต่นิสัยส่วนตัวชอบจัดปาร์ตี้นัดเพื่อนๆ มาทานอาหารที่บ้านกันประจำ เพื่อนๆ ชองให้ดิฉันทำอาหารให้ทานกัน เพราะว่าพวกเขาติดใจในรสชาดอาหารที่ถูกปาก
            สำหรับเมนูในวันนี้วัตถุดิบ และเครื่องปรุง ต้องย้ำว่า ควรคำนึงถึงความสดใหม่เป็นหลัก  ประกอบด้วย  กุ้งแม่น้ำ 1 ตัว, มะม่วงน้ำดอกไม้ 2 ลูก, ผักสลัดตามใจชอบ, กระเทียมและหัวหอมสับ, ใบโหระพาอิตาลี, พริกไทย, เกลือ, มะเขือเทศเชอร์รี่, พริกหวานยักษ์สีแดง สีเหลือง, เม็ดมะม่วงหิมพานต์, แครอท, ถั่วแขก, น้ำส้มสายชูไวน์แดง, น้ำมันมะกอก, เหล้าแกรมาเนียรสส้ม ค่ะ ดูเครื่องปรุงเยาะไหมค่ะ
              เริ่มลงมือปรุงกันเลยน่ะ เรานำกุ้งล้างน้ำให้สะอาด ผ่าหลังดึงเอาเส้นดำออก  แล้วใช้ไม่เสียบจากกึ่งกลางหลัง เป็นเทคนิคตรึงตัวกุ้งให้ตรงไม่งอยามเจอไฟ  แล้วจากนั้น ตั้งกระทะให้ร้อนแล้วใส่น้ำมันมะกอก วางกุ้งแม่น้ำราดเหล้าแกรมาเนียให้ทั่ว ช่วยให้รศชาดกุ้งหวานกลมกล่อม แล้วปิดฝาพักไว้ให้สุก
            ระหว่างรอนั้นหันมาทำซอสมะม่วงกันดีกว่าค่ะ  โดยใส่น้ำมันมะกอกลงกระทะพอร้อน  ผัดกระเทียมหัวหอมเข้าด้วยกัน  ตามด้วยพริกหวานยักษ์ มะม่วงสุกหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 1 ลูก  แล้วเติมพริกไทยป่น เกลือ และเหล้าแกรมาเนียรสส้มเล็กน้อย  เสร็จแล้วพักไว้ค่ะ  จากนั้นต้มแครอทและถั่วแขก ให้สุก แล้วให้นำไปแช่แข็งในตู้เย็นสักพัก ที่แช่แข็งเพื่อให้ แครอทและถั่วแขก กรอบ  แล้วนำมาผัดด้วยน้ำมันมะกอก เพื่อเสริมสารอาหารไฟเบอร์ให้แก่ร่างกายด้วยสลัดซัลซ่าซอสเพิ่มเติม  ใช้มือฉีกผักสลัดตามชอบเป็นชิ้นพอดีคำ ใส่หัวหอมแดงสับ  ใบโหระพาอิตาลี  น้ำมันมะกอก พริกไทย  น้ำส้มสายชูไวน์แดงเล็กน้อยตามลำดับ แล้วทำการคลุกเค้า ให้เข้ากัน พอกุ้งสุกจนได้ที่ นำที่คีบ มาคีบกุ้งวางบนจาน  วางสลัด แครอท และถั่วแขกข้างตัวกุ้ง  จัดให้สวยงาม  โรยเม็ดมะม่วงหิมพานต์  ตักซอสมะม่วงที่พักไว้มาราดบนตัวกุ้ง  โรยพาสลีย์ป่น  แค่นี้ก็จะได้ กุ้งแม่น้ำผัดซอสมะม่วง ที่แสนอร่อย ไว้เสริฟให้กับคนที่คุณรักแล้ว
          วัตถุดิบอาจลงรายละเอียดมากหน่อยนะ แต่สำหรับมื้อพิถีพิถันนี้ คงไม่เกินความสามารถ นอกจากอร่อยครบคุณค่าอาหารแล้ว  มะม่วงน้ำดอกไม้ยังช่วยต้านมะเร็งและมีเบต้าแคโรทีสูง ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เรียกได้ว่า ทั้งอิ่ม และอร่อย และยังให้ประโยชน์มากอีกด้วย  ลองนำเมนูนี้ไปเป็นเมนูเด็ด ทำให้คนที่คุณรักทานกัน่ะครับ รับรอง จะติดใจ จนต้องขอใหม่อีกแน่ๆ